Sunday, September 16, 2012

ประโยชน์ในการศึกษาสำนวนโวหาร


ประโยชน์ในการศึกษาสำนวนโวหาร


1.    ทำให้ใช้ภาษาในการเขียน   ความเรียงต่างๆ ได้ดีขึ้น  เป็นการช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับความ      เรียงที่เขียนขึ้น
2.    ทำให้ได้คติสอนใจ  ในด้านต่างๆ  เช่น
        -  ด้านการเรียน  ตัวอย่างๆ  “รู้ไว้ใช่ว่า  ใส่บ่าแบกหาม”  “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม”  “ความรู้ท่วม  หัวเอาตัวไม่รอด”
        -  ด้านการคบค้าสมาคม  ตัวอย่าง  “คบคนให้ดูหน้า  ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ”  “คบเด็กสร้างบ้าน  คบหัวล้านสร้างเมือง”
        -  ด้านการครองเรือน  ตัวอย่าง  “ความในอย่านำออก  ความนอกอย่านำเข้า”  “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่  ปลูกอู่ตามใจผู้นอน”
        -  ด้านความรัก  ตัวอย่าง  “ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน”  “รักยาวให้บั่น  รักสั้นให้ต่อ”  “รักวัวให้ผูก  รักลูกให้ตี”
3.    ทำให้ทราบความเป็นอยู่ของคนในสังคม  ในสมัยที่เกิดสำนวนโวหารนั้น  ว่ามีความเป็นอยู่   อย่างไร  เช่น   “อัฐยายซื้อขนมยาย”   “แบ่งสันปันส่วน”  “หมูไปไก่มา”
4.    เป็นการรักษาวัฒนธรรมทางภาษาอันเป็นมรดกที่ล้ำค่าของไทยไว้ให้ลูกหลานภาคภูมิใจ

http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no19/suntaree.html

ลักษณะสำนวนไทย


 


ลักษณะสำนวนไทย
ข้อความที่เป็นสำนวนไทยมีลักษณะดังนี้  คือ
1.    มีความหมายโดยนัย   คือความหมายม่ตรงตัวตามความหมายโดยอรรถ  พูดอย่างหนึ่งม    ีความหมายอีกอย่างหนึ่ง  เช่น
                กินปูนร้อนท้อง  -       รู้สึกเดือดร้อนเพราะมีความผิดอยู่
                ขนทรายเข้าวัด  -       ร่วมมือร่วมใจกันทำบุญ
                ฤษีเลี้ยงลิง         -       เลี้ยงเด็กซุกซน   เป็นต้น
2.    ใช้ถ้อยคำกินความมาก  การใช้ถ้อยคำในสำนวนส่วนใหญ่เข้าลักษณะใช้คำน้อยกินความมาก  เนื้อความมีความหมายเด่น  เช่น  ก่อหวอด  ขึ้นคาน  คว่ำบาตร  ขมิ้นกับปูน  คมในฝัก  กิ้งก่าได ้ทอง  ใกล้เกลือกินด่าง  เด็ดบัวไว้ใย  ซึ่งล้วนมีความหมายอธิบายได้ยืดยาว  ส่วนที่ใช้ถ้อยคำหลายคำ  แต่ละคำก็ล้วนมีความหมายและช่วยให้ได้ความกระจ่างชัดเจน  
3.    ถ้อยคำมีความไพเราะ   การใช้ถ้อยคำในสำนวนไทยมักใช้ถ้อยคำสละสลวยมีสัมผัสคล้องจอง  เน้นการเล่นเสียงสัมผัสสระ  สัมผัสอักษร  ให้เสียงกระทบกระทั่งกัน  เกิดความไพระน่าฟังทั้ง   สัมผัสภายในวรรคและระหว่างวรรค  มีการจัดจังหวะคำหลายรูปแบบ  เช่น  เป็นกลุ่มคำซ้อน  4  คำ  อย่าง  ก่อกรรมทำเข็ญ  ก่อร่างสร้างตัว  คู่ผัวตัวเมีย  คู่เรียงเคียงหมอน  คำซ้อน  6  คำ  เช่น  ขิงก็ราข่าก็แรง  ขี้ก้อนใหญ่ให้เด็กเห็น  ยุให้รำตำให้รั่ว  ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง  คำซ้อน  8  คำ  หรือมากกว่าบ้าง  เช่น  ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง  กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง  กำแพงมีหูประตูมีตา  เป็นต้น
ลักษณะสัมผัสคล้องจองเป็นร้อยกรองง่ายๆ  หลายรูปแบบ  มีทั้งคล้องจองกันในข้อความตอน      เดียว  เช่น  ตื่นก่อนนอนหลัง  ต้อนรับขับสู้  ผูกรักสมัครใคร่  โอภาปราศรัย   และคล้องจองในข้อ ความที่เป็น  2 ตอน  ซึ่งมีอยู่จำนวนมากและในข้อความมากกว่า 2 ตอน  เช่น  น้ำมาปลากินมด  น้ำลดมดกินปลา   เอาหูไปนา  เอาตาไปไร่  อย่าไว่ใจทาง  อย่าวางใจคน  จะจนใจเอง  เป็นต้น
4.    สำนวนไทยมักมีการเปรียบเปรย  หรือมีประวัติที่มา  ส่วนใหญ่มาจากการเปรียบเทียบกับ     ปรากฏการณ์ธรรมชาติ  ประเพณี  ศาสนา  นิยาย  นิทานต่างๆ  กิริยาอาการ  และส่วนต่างๆ    ของร่างกาย  ตัวอย่างเช่น  กลับหน้ามือเป็นหลังมือ  นอนตาไม่หลับ  ใจดีสู้เสือ   กินไข่ขวัญ      ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง  เป็นต้น 

ที่เกิดสำนวนไทย

ที่เกิดสำนวนไทย


        ที่เกิดสำนวนไทยมีมูลเหตุจากหลายทางด้วยกัน  เป็นต้นว่า  เกิดจากธรรมชาติ  เกิดจากการ กระทำ  ความประพฤติ   การกินอยู่ของคน  เกิดจากแบบแผนประเพณีและวัฒนธรรม  เกิดจาก    ศาสนา  เกิดจากนิยาย  นิทาน  ตำนานหรือประวัติวัติศาสตร์  เกิดจากกีฬา  การละเล่นหรือการ  แข่งขันละมูลเหตุอื่นๆอีกซึ่งพอสรุปประการสำคัญ ๆ  เป็นตัวอย่างได้ดังนี้
1. เกิดจากธรรมชาติ  เช่น
                                   ข้าวคอยฝน                       ฝนตกไม่ทั่วฟ้า
                                   คลื่นใต้น้ำ                         น้ำซึมบ่อทราย
                                   ไม้งามกระรอกเจาะ           ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
2.    เกิดจากสัตว์   เช่น
                                    ไก่แก่แม่ปลาช่อน             ขี่ช้างจับตั๊กแตน
                                   ปลากระดี่ได้น้ำ                 วัวแก่เคี้ยวหญ้าอ่อน
                                   เสือซ่อนเล็บ                      หมาหยอกไก่
3. เกิดจากการกระทำ  ความประพฤติ  การปฏิบัติและการกินอยู่ของคน  เช่น
                         ขึ้นต้นไม้ปะรังแตน                      ขึ้นต้นไม้ช่วยแรงคาถา
                          ไกลปีนเที่ยง                               ปิดทองหลังพระ
                          ชักใบให้เรือเสีย                          พายเรือคนละที
                          นอนตาไม่หลับ                            หาเช้ากินค่ำ
4. เกิดจากอวัยวะต่างๆ  เช่น
                          ใจลอย                                ตาเล็กตาน้อย
                          ตีนเท่าฝาหอย                    ปากรรมยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
                          มืออยู่ไม่สุข                        หัวรักหัวใคร่
5. เกิดจากของกินของใช้  เช่น
                          ข้าวแดงแกงร้อน                  ไข่ในหิน
                          ฆ้องปากแตก                       ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
                           ลงเรือลำเดียวกัน                 บ้านเคยอยู่  อู่เคยนอน
6.    เกิดจากแบบแผนประเพณีและวัฒนธรรม   เช่น
                        ช้างเท้าหลัง                                 ตื่นก่อนนอนหลัง
                        เข้าตามตรอกออกตามประตู          เป็นทองแผ่นเดียวกัน
                        ฝังรกฝังราก                                 คนตายขายคนเป็น
7.     เกิดจากศาสนา   เช่น
                        กรวดน้ำคว่ำขัน                     ขนทรายเข้าวัด
                        ตักบาตรถามพระ                   บุญทำกรรมแต่ง
                        เทศน์ไปตามเนื้อผ้า                ผ้าเหลืองร้อน
8.    เกิดจากนิทาน  ตำนาน  วรรณคดี  หรือประวัติศาสตร์  เช่น
                        กระต่ายหมายจันทร์                กบเลือกนาย
                        ชักแม่น้ำทั้งห้า                        ฤษีแปลงสาร
                        ดอกพิกุลจะร่วง                       ปากพระร่วง
9.    เกิดจากการละเล่น   กีฬาหรือการแข่งขัน  เช่น
                        ไก่รองบ่อน                              งงเป็นไก่ตาแตก
                        รุกฆาต                                    ไม่ดูตาม้าตาเรือ
                        ลูกไก่                                       ว่าวขาดลมลอย

โวหารภาพพจน์




โวหาร  คือ  การใช้ถ้อยคำอย่างมีชั้นเชิง  เป็นการแสดงข้อความออกมาในทำนองต่างๆ  เพื่อให้ข้อความได้เนื้อความดี  มีความหมายแจ่มแจ้ง เหมาะสมน่าฟัง  ในการเขียนเรื่องราวอาจใช้โวหารต่างๆ  กัน  แล้วแต่ชนิด ของ                                                                                                                       
ประเภทของโวหารภาพพจน์                                                                                                           .  อุปมาโวหาร  (Simile)    อุปมา  คือ  การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มีความหมาย เช่นเดียวกับคำว่า    “ เหมือน ”    เช่น   ดุจ  ดั่ง  ราว  ราวกับ  เปรียบ  ประดุจ  เฉก  เล่ห์  ปาน  ประหนึ่ง  เพียง  เพี้ยง  พ่าง  ปูน  ถนัด  หม้าย   เสมอ  ฯลฯ เช่น   ปัญญาประดุจดังอาวุธ  จมูกเหมือนลูกชมพู่   ใบหูเหมือนทอดมันร้อนๆ  เป็นต้น                           ๒.  อุปลักษณ์  ( Metaphor ) อุปลักษณ์  ก็คล้ายกับอุปมาโวหารคือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกัน  แต่เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง  การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่ง หนึ่ง                                                                                                                                                                    อุปลักษณ์จะไม่กล่าวโดยตรงเหมือนอุปมา แต่ใช้วิธีกล่าวเป็นนัยให้เข้าใจเอาเอง   ที่สำคัญอุปลักษณ์จะไม่มีคำเชื่อมเหมือนอุปมา                                                                                                       
ตัวอย่างเช่น      ขอเป็นเกือก ทองรองบาทา    ไปจนกว่าชีวันจะบรรลัย                                                                                            เธอเป็นดินหรือเธอเป็นหญ้าแท้จริงมีค่ากว่าใครนิรันดร์                                                                       ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ                                         
๓.   สัญลักษณ์  ( symbol )   สัญลักษณ์ เป็นการเรียกชื่อสิ่งๆหนึ่งโดยใช้คำอื่นมาแทน  ไม่เรียกตรงๆ ส่วนใหญ่คำที่นำมาแทนจะเป็นคำที่เกิดจากการเปรียบเทียบและตีความ  ซึ่งใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจและรู้จักกันโดยทั่วไป   ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้ประพันธ์ต้องการเปรียบเทียบเพื่อสร้างภาพพจน์หรือมิ ฉะนั้นก็อาจจะอยู่ในภาวะที่กล่าวโดยตรงไม่ได้  เพราะไม่สมควรจึงต้องใช้สัญลักษณ์แทน                                                                                                                
ตัวอย่างเช่น       เมฆหมอก     แทน    อุปสรรค       สีดำ   แทน   ความตาย ความชั่วร้าย                                                 สีขาว   แทน    ความบริสุทธิ์              กุหลาบแดง   แทน    ความรัก                                         หงส์               แทน    คนชั้นสูง                         กา      แทน       คนต่ำต้อย                                              ดอกไม้           แทน   ผู้หญิง                                 แสงสว่าง  แทน    สติปัญญา        
  .  บุคลาธิษฐาน   (  Personification )   บุคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต  บุคคลสมมติ  คือการกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด   ไม่มีวิญญาณ  เช่น   โต๊ะ  เก้าอี้  อิฐ  ปูน   หรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์  เช่น ต้นไม้  สัตว์    โดยให้สิ่งต่างๆเหล่านี้  แสดงกิริยาอาการและความรู้สึกได้เหมือนมนุษย์  ให้มีคุณลักษณะต่างๆ เหมือนสิ่งมีชีวิต                                     
 ตัวอย่างเช่น         ไส้เดือนเที่ยวเกี้ยวสาว                    ชาวอัปสรนอนชั้น ฟ้า                                                          ทุกจุลินทรีย์อะมีบา           เชิดหน้าได้ดิบได้ดี                             
๕. อธิพจน์  ( Hyperbole )  พจน์ หรือ อธิพจน์  คือโวหารที่กล่าวเกินความจริง เพื่อสร้างและเน้นความรู้สึกและอารมณ์   ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้ง   ภาพพจน์ชนิดนี้นิยมใช้กันมากแม้ในภาษาพูด  เพราะเป็นการกล่าวที่ทำให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้อย่าง ชัดเจน                                                                                                                                         ตัวอย่างเช่น        คิดถึงใจจะขาด    ร้อนตับจะแตก    หนาวกระดูกจะหลุด                                                                           การบินไทยรักคุณเท่าฟ้า      คิดถึงเธอทุกลมหายใจเข้าออก       
๖.
 สัทพจน์( Onematoboeia )  สัทพจน์  หมายถึง  ภาพพจน์ที่เลียนเสียงธรรมชาติ   เช่น   เสียงดนตรี    เสียงสัตว์   เสียงคลื่น    เสียงลม   เสียงฝนตก  เสียงน้ำไหล   ฯลฯ   การใช้ภาพพจน์ประเภทนี้จะทำให้เหมือนได้ยินเสียงนั้นจริง ๆ
ตัวอย่างเช่น         ลูกหมาร้องบ๊อก ๆ ๆ     ลุกนกร้องจิ๊บๆๆ      ลูกแมวร้องเหมียว ๆ ๆ          
.  นามนัย ( Metonymy )   นามนัย  คือ  การใช้คำหรือวลีซึ่งบ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่ง หนึ่ง  คล้ายๆ สัญลักษณ์     แต่ต่างกันตรงที่  นามนัยนั้นจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของสิ่งหนึ่งมากล่าวให้หมายถึงส่วนทั้ง หมด  หรือใช้ชื่อส่วนประกอบสำคัญของสิ่งนั้นแทนสิ่งนั้นทั้งหมด                                                                                                               ตัวอย่างเช่น  เมืองโอ่ง  คือ จังหวัดราชบุรี     เมืองย่าโม  คือ  จังหวัดนครราชสีมา                                                     ทีมเสือเหลือง  คือ ทีมมาเลเซีย   ทีมกังหันลม  คือ ทีมเนเธอร์แลนด์                                                         ทีมสิงโตคำราม  คือ อังกฤษ      เก้าอี้  คือ ตำแหน่ง  หน้าที่          
                                                             มือที่สาม  คือ  ผู้ก่อความเดือดร้อน                           
๘.  ปรพากย์  ( Paradox )    ปฏิพากย์ หรือ ปรพากย์  คือการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันมากล่าว  อย่างกลมกลืนกันเพื่อเพิ่มความหมายให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น              
ตัวอย่างเช่น    เลวบริสุทธิ์   บาปบริสุทธิ์    สวยเป็นบ้า    สวยอย่างร้ายกาจ         
  ๙.  วิภาษ (Oxymoron) การเปรียบเทียบความขัดแย้ง หรือสิ่งที่ตรงข้ามกันนำมาจับเข้าคู่กัน เช่น กากับหงส์ ดินกับฟ้า    มืดกับสว่าง ดังตัวอย่างเช่น
                ตัวอย่างเช่น   ความมืดแผ่รอบกว้างสว่างหลบ    รอบใจพลบแพ้พ่ายสลายขวัญ
                                         ชวนกำสรดซบหน้าซ่อนจาบัลย์  วะหวิวหวั่นหวาดหวังว่ายังคอย     
๑๐.  อรรถวิภาษ (Paradox) คือ การเปรียบเทียบการใช้คำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันแต่เมื่อพิจารณาความหมายลึก ซึ้งโดยแท้จริงแล้วอาจเข้ากันได้  หรือนำมาเข้าคู่กันได้อย่างกลมกลืน            
ตัวอย่างเช่น   เปลวควันเทียนริบหรี่กลับมีแสง     เกิดจากแรงตั้งจิตอธิษฐาน
                   ดวงตาจึงมองเห็นธรรมสืบตำนาน    ดวงใจจึงเบิกบานแต่นั้นมา
ริบหรี่ กับ แสง มีความหมายตรงข้ามกันสิ้นเชิง ครั้นเมื่ออยู่ในประโยคเดียวกันก็มีเนื้อความเรื่องเดียวกัน                                                                                                
๑๑.  อธินามนัย (Metonymy)  คือ การเปรียบเทียบ โดยจาระไนของหลาย ๆ อย่างที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันมากล่าวนำ และสรุปความหมายรวม คือใช้ชื่อเรียกรวม ๆ แทนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง
                   ตัวอย่างเช่น   เลือดสุพรรณวันก่อนเคยร้อนรุ่ม     หลั่งลงรุ่มฉาบดินทุกถิ่นฐาน
                                           บัดนี้เย็นเป็นสุขทุกประการ      เพราะไทยหาญหวงถิ่นไว้ให้ไทยเอย
(คำ ว่าไทย ในบทกลอนข้างต้น หมายถึง เฉพาะชาวไทย มิได้หมายถึงประเทศไทยหรือเชื้อชาติหรือสัญชาติแต่อย่างใด จึงเรียก อธินามนัย ส่วน ไทย คำหลังหมายถึงประเทศไทย)  

๑๒.  อุปมานิทัศน์     คือการเปรียบเทียบโดยยกเรื่องราวหรือนิทานมาประกอบ  ขยาย  หรือแนะโดยนัยให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจแนวความคิด  หลักธรรม  หรือความประพฤติที่สมควรได้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น             
 ตัวอย่างเช่น    นิทานเรื่อง  คนตาบอดคลำช้าง  เป็นอุปมานิทัศน์ชี้ให้เห็นว่า  คนที่มีประสบการณ์  หรือภูมิหลังต่างกันย่อมมีความสามารถในการรับรู้ความเชื่อและทัศนคติต่างกันโคลงโลกนิติบทที่ว่าด้วย  หนูท้ารบราชสีห์   เป็นอุปมานิทัศน์   แสดงให้เห็นว่า  คนโง่หรือคนพาลที่ด้อยทั้งกำลังกายและกำลังปัญญาบังอาจขมขู่ท้าทายผู้มี กำลังเหนือว่าตนทุกด้านแต่ผู้ที่ถูกท้ากลับเห็นว่า  ถ้าตนลดตัวลงไปเกี่ยวข้องด้วยเท่ากับเอาพิมเสนไปแลกเกลือ  จึงหลีกเลี่ยงเสีย  ปล่อยให้คนโง่ซึ่งมีความอหังการนั้นพ่ายแพ้แก่ตนเอง                                                                           
 ๑๓. คำไวพจน์  คือ คำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่ใช้ในบริบทต่างๆกัน           
 ตัวอย่างเช่น         กิน -  รับประทาน เขมือบ หม่ำ ฉัน       ดอกบัว -  โกมุท โกมล ปทุม  

ข้อสอบภาษาไทย ม.6 เฉลย เทคนิคละเอียด

 
๑. ข้อใดมีสระเดี่ยวเสียงยาวน้อยที่สุด (ไม่นับเสียงซ้ำ)
ก. เสี่ยงปี่ตอดแตรต่อสีซอรับ                                              
ข. ได้ระเบียบเรียบงามสักสามร้อย
ค. ปี่พาทย์คอยบรรเลงเพลงสดับ                                                     
ง. กลองขยับมือถี่ตีออกรัว
เฉลย ขั้นแรกเราต้องหาสระเสียงยาวในแต่ละข้อกันก่อน มาดูกัน!!!
ก. มีสระ เอีย, อี, ออ, แอ รวม ๔ เสียง
ข. มีสระ ไอ เอีย อา ออ รวม ๔ เสียง
ค. มีสระอี อา ออ เอ รวม ๔ เสียง
ง. มีสระออ อือ อี อัว รวม ๔ เสียง
โอ๊ยยย! เท่ากันหมดเลย แต่ว่าโจทย์ถามสระเดี่ยว เราก็มาตัดกันทีละข้อนะครับ
ก. ตัดสระ เอีย ออก เพราะเป็นสระประสม จะเหลือ ๓ เสียง คือ อี, ออ, แอ
ข. ตัดสระ เอย ออก เพราะเป็นสระประสม สระไอ เป็นสระเกิน จะเหลือ ๒ เสียง คือ อา กับ ออ
ค. ไม่ตัดเสียงใดเลย จะเหลือเท่าเดิม คือ สระอี อา ออ เอ รวม ๔ เสียง
ง. ตัดสระ อัว ออก เพราะเป็นสระประสม จะเหลือ ๓ เสียง คือ ออ อือ อี
ดังนั้นจึงตอบ ค. ปี่พาทย์คอยบรรเลงเพลงสดับ เรามาดูข้อต่อไปเลยดีกว่า
๒. ข้อใดมีเสียงพยัญชนะต้นเดี่ยวมากที่สุด (ไม่นับเสียงซ้ำ)
ก. วันพฤหัสเดือนอ้ายขึ้นหกค่ำ                                                        
ข. กำหนดนำเฝ้าอนงค์อันทรงศักดิ์
ค. สองอังกฤษคิดภักดีเป็นที่รัก                                                        
ง. มาชวนชักให้สนานสำราญกาย
 เฉลย เราเห็นข้อสอบแล้วอาจจะงงๆ อยู่ว่า “พยัญชนะต้น” คืออะไร พยัญชนะต้นก็คือ พยัญชนะตัวแรกของแต่ละคำนั่นเอง โดยจะนับเรียงพยางค์  เช่น สวัสดี พยัญชนะต้นก็คือ ส, ว, ด  แต่ถ้าเป็นคำควบกล้ำหรืออักษรนำเราจะนำรวมตัวนำและตัวควบ เช่น ควาย พยัญชนะต้น คือ คว ตลาด พยัญชนะต้นคือ ตล เรามาทำข้อสอบกันเลยดีกว่า
ก. มี ว, พฤ, ห, ด, อ, ข, ค
ข. มี ก, หน, น, ฝ ,อ ,ทร, ศ
ค. ส, อ, กฤ, ค, ภ, ด, ป, ท, ร
ง. ม, ช, ห, สน, ส, ร, ก ทีนี้เราก็มาตัดตัวที่ไม่ใช่พยัญชนะเดี่ยวกัน
ก. ตัด พฤ ออก เหลือ ว, ห, ด, อ,ข,ค รวม ๖ เสียง
ข. ตัด หน, ทร ออก เหลือ ก, น, ฝ, อ, ศ รวม ๕ เสียง
ค. ตัด กฤ ออก เหลือ ส,อ,ค, ภ, ด, ป, ท, ร รวม ๘ เสียง
ง. ตัด สน ออก เหลือ ม, ช, ห , ส, ร, ก รวม ๖ เสียง
ดังนั้น ตอบ ค. สองอังกฤษคิดภักดีเป็นที่รัก
๓. การเล่นเสียงในข้อใดต่างจากข้ออื่น
ก. อยู่ตามลำพังแล้วก็จะพากันผาดโผนโจนเล่มตามประสาสัตว์   
ข. นุ่งผ้าย้อมฝาดคาดกาสาว์พันเป็นเกลียวเหนี่ยวเหน็บรั้ง
ค. เสียงชะนีร้องอยู่โหวยโวยโว่ยวิเวกวะหวามอก
ง. ยีงมีบุรุษผู้หนึ่งนั้นเติบโตดำล่ำสันเห็นพิลึก
เฉลย ในการเล่นเสียงนั้นจะมีอยู่ ๓ แบบ คือ การเล่นเสียงพยัญชนะ เล่นเสียงสระ เล่นเสียงวรรณยุกต์
๑) เล่นเสียงพยัญชนะ คือ การนำเอาคำที่มีพยัญชนะเดียวกันมาเรียงชิดติดกัน เช่น “วิเวกวะหวาม”
๒) เล่นเสียงสระ คือ การนำเอาคำที่มีพยัญชนะเดียวกันมาเรียงชิดติดกัน เช่น “โผนโจน”
๓) เล่นเสียงวรรณยุกต์ คือ การนำคำที่มีสระเดียวกันวรรณยุกต์ต่างกันมาวางเรียงลำดับกัน เช่น สามัญ – เอก –โอ, จัตวา – ตรี – โท เช่น “คูคู่คู้” เรียงจาก สามัญ – เอก – โท หรืออาจไม่เรียงก็ได้
ดูที่โจทย์
ข้อ ก. เล่นเสียงสระ  โผนโจน
ข้อ ข. เล่นเสียงสระ เกลียวเหนี่ยว
ข้อ ค. โหวยโวยโว่ยวิเวกวะหวาม ข้อนี้เล่นทั้งพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์
ข้อ ง. เติบโตดำล่ำ เล่นพยัญชนะ และสระ
ดังนั้น ข้อ ค. เสียงชะนีร้องอยู่โหวยโวยโว่ยวิเวกวะหวามอก มีการเล่นเสียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ซึ่งต่างจากข้ออื่น จึงตอบข้อนี้

๔. ข้อใดใช้กลวิธีเดียวกับคำประพันธ์ต่อไปนี้
“ทั้งหนาวลมหนาวพรมน้ำค้างพราว                    ไหนจะหนาวซากผาศิลาเย็น”
ก. เป็นพูดชื่อหรือภูตผีปีศาจหลอก                     ใครช่วยบอกภูตผีมานี่ประเดี๋ยว
ข. ตระเวนไพรร่อนร้องตระเวนไพร                  เหมือนเวรใดให้นิราศเสน่หา
ค. เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี                                    เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา
ง. แม้เสียดาหาก็เสียวงศ์                                         อัปยศถึงองค์อสัญหยา
เฉลย กลวิธีการประพันธ์ / วรรณศิลป์ คืออย่างเดียวกัน มีทั้ง การเล่นคำ การเล่นเสียง การใช้วารภาพพจน์
ข้อ ก. ใช้การเล่นคำพ้องเสียง คำว่า “ภูต - พูด”
ข้อ ข. ใช้การเล่นคำพ้องรูป คำว่า “ตระเวนไพร” คำแรกคือชื่อนก คำที่สองหมายความว่า ทั่วทั้งป่า
ข้อ ค. ใช้การเล่นคำพ้องเสียง คำว่า “วรรณ-วัน” คำแรกคือชื่อนก คำที่สองหมายความว่า วัน
ข้อ ง. ใช้การซ้ำคำ คือคำว่าเสีย มีความหมายเดียวกัน คือ ขาด หาย
ดังนั้นตอบข้อ ง. แม้เสียดาหาก็เสียวงศ์                                อัปยศถึงองค์อสัญหยา ใช้การซ้ำคำ
๕. ข้อใดมีเสียงท้ายวรรครองและวรรคส่งของกลอนสุภาพถูกต้องตามขนบนิยม
ก. กลิ่นกุหลาบจำปีมะลิลา                                   เหมือนกลิ่นผ้าสไบบางของนางแก้ว
ข. ดั่งดวงจันทร์วันเพ็ญลอยเด่นหล้า                   เกินจักหานางใดมาเทียมเทียบ
ค. แหวนสามก้อยสลักนามแทนความรัก            จงประจักษ์ใจที่มีเพียงหนึ่ง
ง. มาเถิดรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย                     เป็นพลังยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน
เฉลย ขนบนิยมในการแต่งกลอน มีดังนี้
ท้ายวรรคสดับ ห้ามสามัญ
ท้ายวรรครับ ห้ามสามัญ ตรี
ท้ายวรรครอง ห้าม เอก โท จัตวา
ท้ายวรรคส่ง ห้าม เอก โท จัตวา
จากโจทย์ให้มาว่าเป็นท้ายวรรครองและวรรคส่ง ก็มาสังเกตกันได้เลย
ข้อ ก. รอง – ลา เป็นเสียงสามัญ (ถูก)  ส่ง - แก้ว เป็นเสียงโท (ผิด)
ข้อ ข. รอง – หล้า เป็นเสียงโท (ผิด)
ข้อ ค. รอง – รัก เป็นเสียง ตรี (ถูก)  ส่ง – หนึ่ง เป็นเสียงเอก (ผิด)
ข้อ ง. รอง – ไทย เป็นเสียงสามัญ (ถูก)  ส่ง – ดิน เป็นเสียงสามัญ (ถูก)
ดังนั้นตอบข้อ ง. มาเถิดรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย               เป็นพลังยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน
๖. ข้อใดมีคำที่ไม่ใช่คำซ้อน
ก. ฝืดเคือง เสื่อสาด แปดเปื้อน                                                             ข. เจ็บไข้ บ้านเรือน ย่ำค่ำ
ค. ลุ่มลึก ลี้ลับ ไหวหวั่น                                                                      ง. เด็ดขาด เท็จจริง ข่มเหง
เฉลย คำซ้อนมี ๓ ประเภท
๑. เอาคำที่มีความมายเหมือนกัน ใกล้เคียงกันมาซ้อนกัน เช่น จิตใจ ปัดกวาด
๒. เอาคำที่มีความหมายตรงข้ามกันมาซ้อนกัน เช่น ดีชั่ว ถูกผิด
๓. เอาคำที่มีเสียงใกล้เคียงกัน “ซ้อนเพื่อเสียง” เช่น เอะอะ
เรามาดูโจทย์กันเลยครับ
ข้อ ก. ฝืดเคือง เป็นคำซ้อนใกล้เคียง  เสื่อสาด เป็นคำซ้อนใกล้เคียง  แปดเปื้อนเป็นคำซ้อนใกล้เคียง
ข้อ ข. เจ็บไข้ เป็นคำซ้อนใกล้เคียง  บ้านเรือน เป็นคำซ้อนใกล้เคียง  ย่ำค่ำ เป็นคำประสม
ข้อ ค. ลุ่มลึก เป็นคำซ้อนใกล้เคียง  ลี้ลับ เป็นคำซ้อนใกล้เคียง  ไหวหวั่น เป็นคำซ้อนใกล้เคียง
ข้อ ง. เด็ดขาด เป็นคำซ้อนใกล้เคียง  เท็จจริง เป็นคำซ้อนตรงข้าม  ข่มเหง   เป็นคำซ้อนใกล้เคียง
ดังนั้น ตอบ ข. เจ็บไข้ บ้านเรือน ย่ำค่ำ
๗. คำซ้ำในข้อใดแตกต่างจากข้ออื่น
ก. หลังจบปริญญาตรี ฉันก็คิดๆ อยู่ว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
ข. เธอก็คงชอบๆ เขาอยู่เหมือนกัน เห็นนัดไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหลายครั้งแล้ว
ค. ผู้อำนวยการจะบรรยายเรื่องประกันคุณภาพ ไปช่วยนั่งๆ ให้ท่านเห็นหน่อย
ง. เวลาเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ไปดูคอนเสิร์ต จะชอบร้องกรี๊ดๆ และแสดงอารมณ์ตามนักร้อง
เฉลย ว่าด้วยเรื่องคำซ้ำ คำซ้ำก็คำที่มันใส่ไม้ยมกนั่นแหละ เมื่อซ้ำแล้วจะให้ความหมายดังนี้
๑. ทำให้เบาลง เช่น แดงๆ
๒. ทำให้หนักขึ้น ชัดขึ้น เช่น แดงๆ (ออกเสียงว่า แด๊ง แดง) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบทของคำ
๓. ให้ความเป็นพหูพจน์ เช่น เยอะๆ
มาดูโจทย์กัน !!!
ข้อ ก. คิดๆ (เบาลง)
ข้อ ข. ชอบๆ (เบาลง)
ข้อ ค. นั่งๆ (เบาลง)
ข้อ ง. กรี๊ดๆ (หนักขึ้น)
ดังนั้น ตอบ ง. เวลาเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ไปดูคอนเสิร์ต จะชอบร้องกรี๊ดๆ และแสดงอารมณ์ตามนักร้อง
๘. ข้อใดมีคำที่สร้างขึ้นด้วยวิธีการที่แตกต่างจากข้ออื่น
ก. รู้เรื่องเคืองจิตเจ็บใจ                         เขียนหนังสือส่งไปให้หลานรัก         
ข. อ่านจบขบฟันหันหุน                       เคืองขุ่นดาลเดือดไม่ดับได้
ค. กระซิบทูลแถลงแจ้งคดี                   พูดจาพาทีให้แจ้งใจ
ง. อย่าชิงชังรังเกียจที่หนุ่มแก่                               จงชมแต่ยศถาบรรดาศักดิ์
เฉลย การสร้างคำในภาษาไทยมีดังนี้ คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน คำสมาส
๑. คำประสม นำคำ ๒ คำขึ้นไป มาประสมกัน เช่น ดวงตา ลิ้นชัก
๒. คำซ้ำ นำคำ ๒ คำขึ้นไป มาซ้ำกัน เช่น ลายๆ งงๆ คิดๆ
๓. คำซ้อน นำคำ ๒ คำขึ้นไป มาซ้อนกันตามเงื่อนไขที่บอกไว้ในข้อที่ ๗. เช่น จิตใจ ทุกข์สุข เอะอะ เงอะงะ
๔. คำสมาส นำคำบาลี บาลี, สันสกฤต สันสกฤต, บาลี สันสกฤต, สันสกฤต บาลี เช่น จิตวิทยา, ครุภัณฑ์
มาดูโจทย์กันเลย วิ้ดวิ้ว
ข้อ ก. เป็นคำประสมทั้งหมด
ข้อ ข. มีคำซ้อนคือ หันหุน (ซ้อนใกล้เคียง) ดาลเดือด (ซ้อนใกล้เคียง)
ข้อ ค. มีคำซ้อนคือ ทูลแถลง (ซ้อนใกล้เคียง) พูดจาพาที (ซ้อนใกล้เคียง)
ข้อ ง. มีคำซ้อนคือ ชิงชัง (ซ้อนใกล้เคียง) ยศถาบรรดาศักดิ์ (ซ้อนใกล้เคียง)
ดังนั้นตอบ ข้อ ก. รู้เรื่องเคืองจิตเจ็บใจ  เขียนหนังสือส่งไปให้หลานรัก
๙. คำที่มีรูปเหมือนกันในข้อใดไม่ใช่คำซ้ำ
ก. รัศมีตนก็หม่นหมอง                         สิ่งของของตัวก็มัวไหม้
ข. ให้สองทรงสีวิกายานมาศ                 อำมาตย์เดินเคียงเป็นคู่คู่
ค. พวกเด็กเด็กหยอกเย้าเข้าฉุด            อุตลุตล้อมหลังล้อมหน้า
ง. ร้านค้าผ้าผ่อนล้วนดีดี                       เลือกดูที่งามตามชอบใจ
เฉลย คำที่จะเป็นคำซ้ำได้จะต้องใส่ไม้ยมกได้ เช่น เธอบ่นไปต่างๆ นานา “ต่างต่าง๐” เป็นคำซ้ำ แต่นานา ไม่เป็นคำซ้ำนะครับ เพราะใส่ไม้ยมกไม่ได้ ถ้าใส่แล้วรู้สึกมันแปลกๆ ข้อนั่นแหละไม่ใช่แน่นอน
ก. สิ่งของของตัวก็มัวไหม้   เรามาลองใส่ไม้ยมกดู “สิ่งของๆ ตัวก็มัวไหม้ แปลกๆ ใช่ไหม
ข. อำมาตย์เดินเคียงเป็นคู่คู่ ð “อำมาตย์เดินเคียงเป็นคู่ๆ”
ค. พวกเด็กเด็กหยอกเย้าเข้าฉุด ð “พวกเด็กๆ หยอกเย้าเข้าฉุด”
ง. ร้านค้าผ้าผ่อนล้วนดีดี ð “ร้านค้าผ้าผ่อนล้วนดีๆ”
ดังนั้นตอบข้อ ก. รัศมีตนก็หม่นหมอง สิ่งของของตัวก็มัวไหม้
๑๐. คำว่า “ที่” ในข้อใดต่อไปนี้ทำหน้าที่แตกต่างจากข้ออื่น
                “ผู้ใหญ่ว่า เยาวชนยุคดิจิทัลนี้ลุ่มหลงอยู่ในวิถีชีวิตสมัยใหม่ตามแบบวัฒนธรรมตะวันตกโดยเฉพาะประเทศทุนใหญ่ที่ (๑) มือยาวสาวได้สาวเอา แต่พอถึงคราวผู้ใหญ่ที่ (๒) เป็นครูบาอาจารย์จะลงมือแก้ไข กลับเอาอย่างตะวันตกตามที่ (๓) ได้เรียนรู้มา ไม่ได้แยกแยะให้ดีว่าควรจะเอาอะไรมาจึงจะเหมาะสมกับเด็กบ้านเมืองนี้ การแก้ปัญหาเยาวชนของชาติจึงเหมือนลิงแก้แห ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง เพราะพ่อแม่ที่ (๔) ใกล้ชิดกับเด็กยุคคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ตไปแล้ว”
ก. ข้อ (๑)                                                                ข. ข้อ (๒)                               ค. ข้อ (๓)                               ง. ข้อ (๔)
เฉลย หน้าที่ของคำตามไวยากรณ์ก็คือ “นาม สรรพนาม กริยา วิเศษณ์ สันธาน บุพบท อุทาน” ซึ่งแต่ละอย่างก็มีหน้าที่ต่างกันไปดังนี้
๑. นาม ใช้แทน คน สัตว์ สิ่งของ เช่น ประเทศไทย สุราษฎร์พิทยา ศิริศักดิ์ (ชื่อผมเอง ๕๕๕๕)
๒. สรรพนาม ใช้แทนคำนาม เช่น ฉัน เธอ เขา มัน ท่าน ตัวเอง เค้า  (๒ คำหลังเนี่ย วัยรุ่นชอบใช้)
๓. กริยา ใช้แสดงกิริยา อาการ เช่น กิน เดิน นอน ปัสสาวะ
๔.  วิเศษณ์ ใช้ขยาย บ่งบอกรายละเอียดของสิ่งนั้นๆ เหมือนกับ Adv. หรือ Adj. ในภาษาอังกฤษ เช่น อ้วน ต่ำ ดำ ผอม สวย รวย
๕. สันธาน ใช้เชื่อประโยค เช่น ฉันและเธอจูงมือกันไป
๖. บุพบท ใช้เชื่อมคำ บ่งบอกสถานที่  เช่น ฉันจะไปอยู่ใกล้ๆ เธอ
๗. อุทาน ใช้แสดงอาการตกใจ มักมีเครื่องหมายตกใจ (อัศเจรีย์) กลัว เช่น ว้าย! อุ๊ย! โอ๊ย!
มาดูโจทย์กัน คำว่า “ที่” จะใช้ในประโยคความซ้อน และจะทำหน้าที่เป็น ประพันธสรรพนาม, ประพันธวิเศษณ์ วิธีดูว่าเป็นประพันธสรรพนามหรือประพันธวิเศษณ์ง่ายๆ คือ ถ้าเป็นประพันธสรรพนาม จะต้องตามหลัง นาม/สรรพนาม ถ้าเป็นประพันธวิเศษณ์ จะต้องตามหลัง กริยา/วิเศษณ์
ข้อ ก. ประเทศทุนใหญ่ที่มือยาวสาวได้สาวเอา   “ที่” ทำหน้าที่เป็น “ประพันธสรรพนาม” เพราะตามหลังนาม “ประเทศทุนใหญ่”
ข้อ ข. แต่พอถึงคราวผู้ใหญ่ที่เป็นครูบาอาจารย์จะลงมือแก้ไข “ที่” ทำหน้าที่เป็น “ประพันธสรรพนาม” เพราะตามหลังนาม “ผู้ใหญ่”
ข้อ ค. กลับเอาอย่างตะวันตกตามที่ได้เรียนรู้มา  “ที่” ทำหน้าที่เป็น “ประพันธวิเศษณ์” เพราะตามหลังกริยา “ตาม”
ข้อ ง. เพราะพ่อแม่ที่ใกล้ชิดกับเด็กยุคคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ตไปแล้ว “ที่” ทำหน้าที่เป็น “ประพันธสรรพนาม” เพราะตามหลังนาม “พ่อแม่”
ดังนั้น ตอบ ค. ข้อ (๓)          
๑๑. ข้อใดมีคำที่มีความหมายกว้าง
ก. เขาอยากมีร้านจำหน่ายเครื่องเสียงมานานแล้ว                                             
ข. ฉันชอบเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นให้อุณหภูมิสูงหน่อย
ค. ช่างกำลังติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องทำงานของผม                              
ง. เด็กๆ พากันสนใจเครื่องฉายสไลด์ที่ตั้งอยู่กลางห้องเรียน
เฉลย ทีนี้มาถึงเรื่องการใช้คำ คำที่มีความหมายกว้างคือครอบคลุมสิ่งอื่น ตั้งแต่ ๒ อย่างขึ้นไป เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ก็มี ฮาร์ดิสก์ ซอฟต์แวร์ อะไรพวกนี้แหละ มาดูในโจทย์กันเลย
ข้อ ก. เครื่องเสียง มี ไมโครโฟน ลำโพง แอมป์ ฯลฯ (กว้างแน่นอน)
ข้อ ข. เครื่องทำน้ำอุ่น ก็มีแค่มันอันเดียวนี่แหละ ไม่นับยี่ห้อน่ะ อิอิ
ข้อ ค. เครื่องปรับอากาศ = แอร์ ก็มีแค่มันอันเดียว
ข้อ ง. เครื่องฉายสไลด์ = โพรแจคเตอร์ ก็มีมันอันเดียวเหมือนกัน
ดังนั้นตอบข้อ ก. เขาอยากมีร้านจำหน่ายเครื่องเสียงมานานแล้ว

วันลังจะเอามาเพิ่มครับ

การสื่อสารกับแรงงานต่างด้าวสำคัญอย่างไร??


การสื่อสารกับแรงงานต่างด้าวสำคัญอย่างไร?? 
 
ในยุคปัจจุบันที่แรงงานขาดแคลนคงปฎิเสธไม่ได้ว่ามีพนักงานต่างด้าวจำนวน มากเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะแรงงาน พม่า กัมพูชา และ ลาว ถ้าได้มีโอกาศไปจังหวัดสมุครสาครจะพบว่าแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในโรงงาน มากกว่าแรงงานไทยในหลายๆโรงงาน แล้วเราจะสื่อสารอย่างไรอย่างมีประสิทธิภาพกับแรงงานต่างด้าวเพื่อให้ได้ตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการ 
จากประสบการณ์ในการตรวจโรงงานพบว่า การสื่อสารที่ไม่ดีก็อาจมาส่งผลกระทบต่อการทำงานและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ บางเรื่องอาจจะฟังดูเป็นเรื่องไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ หรือว่าดูเป็นเหมือนเรื่องตลกแต่ถ้าเกิดขึ้นกับองค์กรของเราแล้วอาจจะไม่ตลก อย่างที่ได้ฟัง 
โรงงานหนี่งมีการได้รับคำสั่งในการบรรจุภัณฑ์ไหม่ โดยโรงงานนี้เป็นโรงงานปั๊มเหล็กเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นส่วนยานยนต์ โดยลูกค้าต้องการให้นำชิ้นงานสำเร็จรูปมารวมกันสามชิ้นแล้วให้มัดหนังยางไว้ ด้วยกันหลังจากนั้นให้ใส่ไว้ในกล่องพลาสติกเพื่อการส่งมอบ  แต่เนื่องจากการสื่อสารไม่ดีกับพนักงานแรงงานต่างด้าว ทำให้พนักงานเข้าใจว่าให้นำวัตถุดิบมารวมกันสามชิ้นแล้วมัดหนังยางแล้วเข้า เครื่องปั๊ม ผลปรากฎว่าเครื่องปั๊มเหล็กพัง แย่ไปกว่านั้นแม่พิมพ์ที่เป็นของลูกค้าก็แตกไปด้วย ทำให้ส่งของไม่ได้ตามที่ลูกค้ากำหนด จะเห็นว่าเรื่องการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากถ้าสื่อสารไม่ดีก็อาจจะ ส่งผลทั้งทางด้านคุณภาพและการจัดส่งอย่างตัวอย่างข้างต้น 
การสื่อสาร (Communication) จัดรูปแบบของการติดต่อสื่อสารได้ 2 ลักษณะได้แก่ 
การสื่อสารโดยใช้ภาษาพูด (Verbal Communication)
การสื่อสารโดยใช้ภาษาพูดเป็นการใช้คำพูดเพื่อใช้ในการสื่อสารความคิดใน รูปแบบต่างๆ เช่น การพูดกันโดยตรง การบันทึกเสียง การคุยการโทรศัพท์ การคุยกันโดยมือถือ การเขียนรายงาน email หรือ Chat กันใน facebook ทั้งการสื่อสารโดยการพูดและเขียน ล้วนแล้วแต่ใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร ถ้ายกตัวอย่างในโรงงานก็อย่างเช่นการสอนงาน การประชุม หรือการเขียนประกาศนโยบายคุณภาพของโรงงาน 
การสื่อสารโดยไม่ใช้การพูด (Nonverbal Communication)
การสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูดเช่น การแสดงสีหน้า การแสดงอารมณ์ การแสดงท่าทางเป็นต้น การน้อมตัวหรือการยกมือไหว้ก็เป็นการสื่อสารอย่างหนี่งเช่นกัน เพราะฉะนั้นการสอนงานโดยการแสดงให้ดูเป็นตัวอย่างโดยเฉพาะกับแรงงานต่างด้าว ก็เป็นรูปแบบของการสื่อสารอย่างหนึ่งโดยไม่ใช่คำพูด 
ลักษณะของการติดต่อสื่อสาร
ลักษณะของการติดต่อสื่อสารถ้าเป็นรูปแบบขององค์กรแบ่งได้ออกเป็น 3 แบบได้แก่ 
1.การสื่อสารจากบนลงล่าง (Downward Communication)
การสื่อสารเป็นแบบการสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีตำแหน่งสูงกว่าไปสู่บุคคล ที่มีตำแหน่งต่ำกว่า เช่น การประกาศนโยบาย (นโยบายคุณภาพ, Quality Policy) วัตถุประสงค์คุณภาพ (Quality objective) ประกาศคำสั่ง ทิศทางการทำงาน และ คำแนะนำเป็นต้น 
2.การสื่อสารจากล่างขึ้นบน (Upward Communication)
การสื่อสารเป็นแบบการสื่อสารระหว่างบุคคลที่มีตำแหน่งต่ำกว่าไปสู่บุคคล ที่มีตำแหน่งสูงกว่า เช่น พนักงาน หรือหัวหน้ารายงานผลการผลิตประจำวันต่อผู้จัดการ การทำกิจกรรมข้อเสนอแนะ (Suggestion activity) เป็นต้น 
3. การสื่อสารตามแนวนอน หรือ ข้ามโครงสร้างองค์การ (Across Horizontal Communication)
เป็นการสื่อสารในระดับเดียวกัน เช่น ผู้จัดการฝ่ายขายรับข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ แล้วนัดประชุมกับผู้จัดการฝ่ายผลิต คุณภาพ วิศวกรรม เพื่อเป็นการทบทวนความเป็นไปได้ในการผลิต เป็นต้น 
เทคนิคการปรับปรุงการติดต่อสื่อสาร
จากลักษณะการสื่อสารที่กล่าวมาข้างต้น ทำอย่างไรจะทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากที่สุด อ้างอิงตาม Stephen P. Robbins (1989) ศาสตราจารย์ด้านการจัดการที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้แนะนำเทคนิค 7 ประการในการปรับปรุงการติดต่อสื่อสาร 
1.ใช่ช่องทางการติดต่อสื่อสารหลายแบบ เป็นการช่วยตอกย้ำหรือแสดงความชัดเจนของข้อมูล เช่น การปฐมนิเทศพนักงานใหม่นอกจากทางการบุคคลจะพูดถึงกฏระเบียบบริษัทรวมทั้ง ด้านนโยบายด้านความปลอดภัยแล้ว การเปิดวีดิโอเกี่ยวกับความปลอดภัยรวมถึงภาพแสดงสิ่งที่ปลอดภัยและไม่ ปลอดภัยและคำบรรยาย เท่ากับว่าเป็นการสื่อสารให้ได้เห็นทั้งภาพและการได้ยินเสียง ซึ่งทำให้ผู้รับสารได้เข้าใจได้ยิ่งขึ้น  ฉะนั้นการสื่อสารโดยเฉพาะกับพนักงานต่างด้าวนอกจากจะทำคู่มือการปฎิบัติงาน เป็นภาษาของพนักงานต่างด้าวแล้ว การใส่ภาพในคู่มือการทำงาน หรือการทำวิดีโอการสอนงานจะทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
2. แยกแยะข่าวสารให้เหมาะสมกับผู้ใช้ เนื่องจากข่าวสารที่ต้องการของคนในองค์กรแตกต่างกัน ผู้บริหารระดับสูงอาจต้องการข้อมูลที่แตกต่างกับพนักงานทำงานทั่วไป พนักงานต่างด้าวอาจจะสื่อสารและต้องการรับข่าวสารที่แตกต่างกับพนักงานคนไทย จึงจำเป็นต้องแยกแยะข้อมูลและเลือกสื่อสารให้ตรงกับความต้องการของผู้รับ ข่าวสาร เช่นถ้าเราสอน GMP (สุขลักษณะที่ดีในการผลิต) กับพนักงานต่างด้าวชาวพม่าการให้ข้อมูลเรื่องการไม่ปะแป้งที่หน้า หรือ การเคี้ยวหมากในที่ทำงานคงต้องให้ข่าวสารและให้ความเข้าใจมากขึ้นเมื่อ เปรียบเทียบกับพนักงานชาวไทย 
3. แสดงความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น การสื่อสารด้วยวาจาจะต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบกระเทือนกับความรู้สึกของผู้ อื่น อย่างตัวอย่างที่ได้ไปตรวจโรงงานที่หนึ่ง เราก็เรียกพนักงานต่างด้าวเหมือนปกติตอนที่ตรวจ แต่ผู้จัดการการบุคคลบอกว่าที่นี่เขาไม่เรียกว่าพนักงานต่างด้าว เพราะเขาไม่ชอบและรู้สึกน้อยใจเหมือนไม่ให้เกียรติเขา ต้องเรียกว่าพนักงานต่างด้าวว่าเพื่อนบ้าน ฟังดูก็เพราะไปอีกแบบเลยจำเก็บมาใช้บ้าง 
4. การสื่อสารแบบสองต่อสองมีความสำคัญมาก การสื่อสารที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงซึ่งมีผลกระทบทำให้เกิดความสงสัย วิตกกังวล และไม่แน่ใจ ต้องใช้การสื่อสารแบบสองต่อสองเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถได้คำ ตอบต่อข้อสงสัยต่างๆ 
5. ฝึกฝนวิธีฟังอย่างตั้งใจ ต้องฝึกฝนการเป็นผู้ฟังที่ดี ต้องแยกแยะระหว่างการได้ยิน (Hearing) กับการฟัง (Listening) โดยเฉพาะกับพนักงานต่างด้าวต้องให้ความตั้งใจและการแปลความหมาย เช่น ตอนไปตรวจพนักงานต่างด้าวที่พอสื่อสารภาษาไทยกับเราได้ พนักงานทำหน้าที่ตรวจสอบชิ้นงาน เราก็ถามเขาว่าทำงานตรวจชิ้นงาน ตรวจชิ่นงานมีปํญหางานบ้างมัย ซึ่งเราก็อยากเข้าใจว่าพนักงานตรวจงานเป็นหรือเปล่า หรือคัดแยกงานดีงานเสียเป็นหรือไม่  พนักงานต่างด้าวบอกว่าทำงานไม่มีปํญหาเลย ซึ่งถ้าฟังจากคำตอบก็อาจจะเข้าใจว่าไม่มีของเสียเลย แต่ต้องพูดซ้ำต่อเพื่อให้แน่ใจ เลยถามต่อว่าไม่มีงานเสียเลยเหรอ ชาวต่างด้าวก็ตอบว่าทำงานไม่มีปํญหาเลยเพื่อนร่วมงานดีทุกคน ทำงานไม่มีปํญหา ฉะนั้นการสื่อสารแบบสองทางกับชาวต่างด้าวนอกจากฟังอย่างตั้งใจแล้วยังต้อง ให้มั่นใจอีกด้วยว่าเข้าใจตรงกันหรือไม่ 
6. สิ่งที่พูดต้องสอดคล้องกับการกระทำ การสื่อสารสิ่งที่พูดต้องสอดคล้องการการกระทำ ไม่อย่างนั้นทำบ่อยๆอาจจะไม่ใครเชื่อ แต่สำหรับการสื่อสารกับพนักงานต่างด้าวแล้วเราต้องมั่นใจว่าสิ่งที่พูดต้อง สอดคล้องกับการกระทำจริงหรือไม่เพื่อให้เข้าใจได้อย่างตรงกันจริงๆ เช่น ได้ไปตรวจพนักงานต่างด้าวที่ทำการตรวจสอบชิ้นงานเหล็กแผ่นซื่งตามคู่มือปฎิ บัติงานกำหนดว่าการวัดชิ้นงานให้ทาบกับกระจกเพื่อดูความตรงของชิ้นงาน ในกรณีที่งานโกงให้ทำการดัด แล้ววัดซ้ำ จึงสอบถามพนักงานต่างด้าวว่าตรวจสอบอย่างไร พนักงานก็อธิบายวิธีการตรวจสอบชิ้นงานพร้อมกับบอกว่าถ้างานโกง ก็หักมัน จึงต้องให้พนักงานดังกล่าวทำให้ดูเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นการทวนสอบว่าหักงาน หรือดัดงานกันแน่ ฉะนั้นบ้างครั้งการสื่อสารอาจจะบิดเบือนไปได้เนื่องจากอุปสรรคทางด้านการ สื่อสาร 
7. การใช้ข้อมูลป้อนกลับ การสื่อสารที่ดีต้องเป็นการสื่อสารแบบสองทางเป็นการช่วยทำให้เราเข้าใจว่า ผู้รับสารเข้าใจอย่างที่เราตั้งใจหรือไม่ เช่นการสอนงานลูกน้อง หลังจากสอนเสร็จเทคนิคง่ายๆคือให้เขาอธิบายกลับว่าเขาเข้าใจว่าอย่างไร หรือถ้าเป็นพนักงานต่างด้าวหลังจากที่สอนเสร็จต้องให้เข้าทำให้ดูจนกว่าจะ แน่ใจว่าเขาทำงานได้อย่างที่เราคาดหวังไว้ 
หวังว่าเทคนิคในการสื่อสารทั้ง 7 วิธีจะทำให้การสื่อสารกับพนักงานต่างด้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

การเขียนโครงการ 2

การเขียนโครงการ

โครงการ (Project)     เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในหน่วยงาน        การเขียนโครงการ เป็นการเขียนเพื่อประโยชน์ทางวิชาการประเภทหนึ่ง  เพราะมีส่วนช่วยให้เกิดการวางแผนการทำงาน  การศึกษา  การริเริ่มปฏิบัติงานใหม่ๆ ฯลฯ   ดังนั้นโครงการ/งาน/กิจกรรมย่อมมีบทบาทสำคัญต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงาน   จึงควรมีแนวทางในการจัดทำงบประมาณที่เหมาะสมเพื่อการขออนุมัติต่อไป

ความหมายของโครงการ

คำว่า “โครงการ” มีความหมายตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “project”  เป็นแผนงานที่จัดทำขึ้นอย่างรอบคอบ เป็นระบบ พร้อมกับมีแนวทางปฏิบัติ  เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายของแผนงานที่ได้กำหนดไว้   โดยใช้ทรัพยากรในการดำเนินงานอย่างคุ้มค่า         มีจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุดชัดเจน  มีพื้นที่ในการดำเนินงานเพื่อให้บริการ มีบุคคล หรือหน่วยงานรับผิดชอบ

ลักษณะสำคัญของโครงการ

                การเขียนโครงการ  มีลักษณะการเขียนแตกต่างไปจากการเขียนประเภทอื่น ๆ โครงการที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.  ต้องมีระบบ (System)  โครงการต้องประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเป็นกระบวนการ      ถ้าส่วนใดเปลี่ยนแปลงไป  จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนอื่น ๆ ตามไปด้วย
2.  ต้องมีวัตถุประสงค์ชัดเจน (Clear  Objective) โครงการต้องกำหนดวัตถุประสงค์สอดคล้องกับความเป็นมาของโครงการ  มีความเป็นไปได้ชัดเจน และเป้าหมายของโครงการต้องประกอบด้วยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
3.  ต้องเป็นการดำเนินงานในอนาคต (Future  Operation) เนื่องจากการปฏิบัติงานที่ผ่านมามีข้อบกพร่อง จึงควรแก้ไขและปรับปรุงโครงการจึงเป็นการดำเนินงานเพื่ออนาคต
4.  เป็นการทำงานชั่วคราว (temporary task) โครงการเป็นการทำงานเฉพาะกิจเป็นคราว ๆ เพื่อแก้ไขปรับปรุง และพัฒนาไม่ใช่การทำงานที่เป็นการทำงานประจำ หรืองานปกติ
5.  มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน (Difinitely Duration) โครงการต้องกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน โดยกำหนดเวลาเริ่มต้น และเวลาที่สิ้นสุดให้ชัดเจน  ถ้าไม่กำหนดเวลา หรือปล่อยให้โครงการดำเนินไปเรื่อย ๆ ย่อมไม่สามารถประเมินผลสำเร็จได้  ซึ่งจะกลายเป็นการดำเนินงานตามปกติ
6.  มีลักษณะเป็นงานที่เร่งด่วน (Urgently task) โครงการต้องเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อสนองนโยบายเร่งด่วน        ที่ต้องการจะพัฒนางานให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว  ทันต่อเหตุการณ์ หรือเป็นงานใหม่
7.  ต้องมีต้นทุนการผลิตต่ำ (Low Cost)  การดำเนินงานตามโครงการต้องมีการใช้ทรัพยากรหรืองบประมาณ    โครงการจะมีประสิทธิภาพต่อเมื่อมีการลงทุนน้อย   แต่ได้รับประโยชน์สูงสุด
8.  เป็นการริเริ่มหรือพัฒนางาน (Creativity or Developing)  โครงการต้องเป็นความคิดริเริ่มที่แปลกใหม่     เพื่อแก้ปัญหาและอุปสรรค และพัฒนางานให้เจริญก้าวหน้า

ความสำคัญของโครงการ

                เนื่องจากโครงการ (Project) เป็นสารที่เรียบเรียงขึ้นเป็นขั้นตอน  และมีแผนปฏิบัติเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ดังนั้นโครงการจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของแผนการดำเนินงานของทุกหน่วยงาน
                การวางแผนโครงการ   มีกระบวนการและขั้นตอน  เช่นเดียวกับการวางแผนโดยทั่วไป คือ ประกอบด้วย การกำหนดวัตถุประสงค์  การรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูล  การพิจารณาถึงอุปสรรค ปัญหา  ค้นหาโอกาส    เลือกแนวทางการปฏิบัติที่เป็นไปได้  หรือวิถีทางที่ดีที่สุดและกระบวนการสุดท้าย คือ การตรวจสอบ ทบทวน และการประเมินผลโครงการ  ดังนั้นโครงการจึงมีความสำคัญต่อแผนการการปฏิบัติงานดังต่อไปนี้
                1.  ช่วยชี้ให้เห็นถึงปัญหา  และภูมิหลังของการทำงาน
                2.  ช่วยให้การปฏิบัติงานตามแผนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
                3.  ช่วยให้แผนงานมีความชัดเจน โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจและรับรู้ถึงปัญหาร่วมกัน
4.  ช่วยให้แผนงานมีทรัพยากรใช้อย่างเพียงพอ เหมาะสมกับสภาพปฏิบัติจริง  เพราะมีรายละเอียดการใช้
ทรัพยากรที่ชัดเจน
                5.  ช่วยให้แผนงานมีความเป็นไปได้สูงเพราะมีผู้รับผิดชอบ และมีความเข้าใจในการดำเนินงาน
6.  ช่วยลดความขัดแย้ง  และขจัดความซ้ำซ้อนในหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงาน เพราะแต่ละหน่วยงาน 
     มีโครงการที่ได้รับผิดชอบเป็นการเฉพาะ  เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของบุคคลในหน่วยงาน
7.  สร้างทัศนคติที่ดีต่อบุคลากรในหน่วยงาน  เป็นการเสริมสร้างความสามัคคี และความรับผิดชอบร่วมกัน
     ตามความรู้  ความสามารถ และศักยภาพของแต่ละบุคคลอย่างเต็มที่
8.  สร้างความมั่นคงให้กับแผนงาน และสร้างความมั่นใจในการดำเนินงานให้กับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ
9.  สามารถควบคุมการทำงานได้สะดวก ไม่ซ้ำซ้อน เพราะงานได้แยกออกเป็นส่วน ๆ ตามลักษณะเฉพาะของ
     งาน

ส่วนประกอบของโครงการ

                ในการเขียนโครงการ  ผู้เขียนจำเป็นต้องเข้าใจส่วนประกอบต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้การเขียนโครงการเป็นไปตามลำดับขั้นตอน มีเหตุผลน่าเชื่อถือ  และการเขียนส่วนประกอบของโครงการครบถ้วนช่วยให้การลงมือปฏิบัติตามโครงการ เป็นไปโดยราบรื่น รวดเร็ว และสมบูรณ์ ส่วนประกอบของโครงการ จำแนกได้ 3 ส่วน ดังต่อไปนี้
                1. ส่วนนำ  หมายถึง  ส่วนที่ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโครงการนั้นๆ ส่วนนำของโครงการมุ่งตอบคำถามต่อไปนี้  คือ โครงการนั้นคือโครงการอะไร  เกี่ยวข้องกับใคร  ใครเป็นผู้เสนอหรือดำเนินโครงการ   โครงการนั้นมีความเป็นมา  หรือความสำคัญอย่างไร  ทำไมจึงจัดโครงการนั้นขึ้นมา  และมีวัตถุประสงค์อย่างไร
                จะเห็นได้ว่า ความในส่วนนำต้องมีรายละเอียดเพียงพอที่จะให้ผู้อ่าน  และผู้เกี่ยวข้องได้เข้าใจข้อมูลพื้นฐาน ก่อนจะอ่านรายละเอียดในโครงการต่อไป   ส่วนนำของโครงการประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้
1.1  ชื่อโครงการ ( Project Title )
1.2  โครงการหลัก( Main  Project )
1.3  แผนงาน( Plan )
1.4  ผู้รับผิดชอบ  หรือผู้ดำเนินโครงการ( Project  Responsibility )
1.5  ลักษณะโครงการ( Project Characteristic )
1.6  หลักการและเหตุผล (ความเป็นมาและความสำคัญของโครงการ) (Reason  for Project
       Determination)
1.7  วัตถุประสงค์(Objectives)
                การเขียนส่วนนำของโครงการต้องทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ  และเห็นความสำคัญของโครงการนั้น   พร้อมตัดสินใจว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจหรือไม่  หากผู้อ่านเป็นกลุ่มบุคคลที่มีหน้าที่ต้องพิจารณาอนุมัติ  หรือให้การสนับสนุนก็อาจจะเกิดแนวคิดว่าจะให้ความช่วยเหลือโครงการนั้นแค่ ไหน เพียงใด ก่อนที่จะอ่านรายละเอียดอื่น ๆ ต่อไป  ดังนั้น ผู้เขียนโครงการต้องพิถีพิถันในการใช้ภาษาให้ถูกต้องชัดเจน รัดกุม และเหมาะสม โดยชี้แจงเหตุผลสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
                2. ส่วนเนื้อความ  หมายถึง  ส่วนที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ ได้แก่ วิธีดำเนินการซึ่งกล่าวถึงลำดับขั้นตอนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน รวมทั้งพื้นที่การปฏิบัติงาน ซึ่งครอบคลุมปริมาณ และคุณภาพ ตลอดจนการดำเนินงานตาม วัน เวลา และสถานที่ ส่วนเนื้อความของโครงการประกอบด้วย หัวข้อต่อไปนี้
2.1  เป้าหมายของโครงการ (Goal)
2.2  ขั้นตอนการดำเนินงาน( Work Procedure)
2.3  วัน   เวลา  และสถานที่ในการดำเนินงาน ( Duration and Place)
                วิธีดำเนินการจัดเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ ผู้เขียนต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสน วิธีดำเนินการควรแยกอธิบายเป็นข้อๆให้ชัดเจนตามลำดับขั้นตอนการทำงาน อาจทำแผนผังสรุปวิธีดำเนินการตาม วัน เวลา เพื่อความชัดเจนด้วยก็ได้
                3. ส่วนขยายความ    หมายถึง  ส่วนประกอบที่ให้รายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับโครงการได้แก่ ประโยชน์ หรือผลที่คาดว่าจะได้รับงบประมาณดำเนินการ  หรือแหล่งเงินทุนสนับสนุนตลอดจนการติดตามและประเมินผล  ส่วนขยายเนื้อความของโครงการ ประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้
3.1  งบประมาณที่ใช้( Budgets)
3.2  การประเมินโครงการ ( Project Evaluation )
3.3  ผลที่คาดว่าจะได้รับ( Benefits)
                ในส่วนขยายความ  อาจจะเพิ่มเติมผู้เสนอโครงการไว้ในตอนท้ายของโครงการ  ในกรณีที่เป็นโครงการที่ต้องเสนอผ่านตามลำดับขั้นตอน  และผู้อนุมัติโครงการลงนามในตอนท้ายสุดของโครงการ

ลำดับขั้นตอนการเขียนโครงการ

                ได้กล่าวส่วนประกอบของโครงการตามหัวข้อสำคัญ 3 ประการแล้ว  ในที่นี้ขออธิบายรายละเอียด ลำดับขั้นตอนของการเขียนโครงการ ดังต่อไปนี้
                1. ชื่อโครงการ  ซึ่งโครงการต้องมีความชัดเจน  รัดกุม และเฉพาะเจาะจง  ทำให้เกิดความเข้าใจง่ายแก่ผู้เกี่ยวข้อง  หรือผู้นำโครงการไปปฏิบัติ   ชื่อโครงการจะบอกให้ทราบว่าจะทำสิ่งใด หรือเสนอขึ้น เพื่อทำอะไร   โดยปกติชื่อโครงการจะแสดงลักษณะของงานที่ต้องปฏิบัติตัวอย่างเช่น

1.1 โครงการโครงการสร้างสื่อการสอน ชุดสาธิต ทดสอบ ปรับแต่ง ตรวจสอบเครื่องรับวิทยุ เครื่อง
       ขยายเสียง และระบบเสียง
1.2 โครงการโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนในสายงานโรงแรม
1.3 โครงการโครงการแข่งขันทักษะวิชาการด้านภาษาอังกฤษ(The  Battle  of  The  Brains)
2. โครงการหลัก ให้ศึกษาในแผนพัฒนาโรงเรียน ว่าโครงการที่จัดทำสามารถอิงกับโครงการหลักใดในแผนพัฒนาโรงเรียน
3. แผนงาน ให้ศึกษาว่าโครงการที่ทำนั้นสอดคล้องกับแผนงานใดในแผนพัฒนาโรงเรียน      และสอดคล้องกับมาตรฐานและตัวบ่งชี้ที่เท่าใด ในมาตรฐานอาชีวศึกษา
                4.  ผู้รับผิดชอบโครงการ   เป็นการบอกให้ทราบว่า  กลุ่มบุคคลใด  หรือหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบในการเสนอ และดำเนินงานตามโครงการ   ทั้งนี้เพื่อสะดวกแก่การประสานงานและการตรวจสอบ
                5. ลักษณะโครงการ  เป็นโครงการใหม่ เริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. ......... หรือโครงการต่อเนื่อง
                6. หลักการและเหตุผล   หรืออาจจะเรียกว่าความเป็นมา     หรือภูมิหลังของโครงการหลักการและเหตุผล เป็นส่วนที่แสดงถึงปัญหาความจำเป็นหรือความจำเป็นที่ต้องจัดโครงการขึ้น    โดยผู้เขียนหรือผู้เสนอโครงการจะต้องระบุเกิดปัญหาอะไร กับใคร ที่ไหน เมื่อใด  มีสาเหตุมาจากอะไร  โดยมีข้อมูลสนับสนุนให้ปรากฏชัดเจน นอกจากนี้จะต้องบอกถึงความจำเป็นที่ต้องจัดทำโครงการว่า ถ้าไม่ทำจะเกิดผลเสียหายอย่างไร  ถ้าทำคาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาหรือพัฒนาได้อย่างไร
นอกจากนั้นยังอาจเพิ่มความสอดคล้องของโครงการกับแผนงานต่างๆ หรือโครงการจะช่วยเอื้อให้แผนนั้นๆประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นอย่างไร    และถ้าเคยมีรายงานการประเมินโครงการแล้วก็ควรนำมาเขียนเพื่อเพิ่มน้ำหนักใน การจัดทำโครงการด้วย  การเขียนหลักการและเหตุผลไม่ควรยาวหรือสั้นเกินไป  โดยเฉพาะการเขียน วกไปวนมาจะทำให้เข้าใจยาก  ซึ่งในปัจจุบันมักพบว่าเขียนค่อนข้างสั้นเกินไป  เพียงย่อหน้าเดียว 3-5 บรรทัด  ซึ่งทำให้ขาดข้อมูลสำคัญๆได้    การเขียนหลักการและเหตุผลมักเขียนเป็นความเรียง ไม่นิยมเขียนเป็นข้อ ๆ
                7. วัตถุประสงค์   ควรเขียนให้อยู่ในรูปการลดหรือขจัดปัญหาหรือพัฒนาสิ่งที่ต้องการเพิ่มขึ้น  ไม่จำเป็นต้องเขียนวัตถุประสงค์หลายข้อ  เพราะจำนวนข้อของวัตถุประสงค์ไม่ได้แสดงถึงความมีคุณภาพของโครงการแต่อย่าง ใด   บางครั้งเขียนเกินจริงซึ่งเมื่อประเมินโครงการก็ไม่มีทางสำเร็จได้  ฉะนั้นต้องระบุให้ชัดเจน รัดกุม และสามารถปฏิบัติได้จริง  การเขียนวัตถุประสงค์ต้องครอบคลุมเหตุผลที่จะทำโครงการ  โดยจัดลำดับแยกเป็นข้อ ๆ  เพื่อความเข้าใจง่าย และชัดเจน
คำที่ควรใช้
คำที่ควรหลีกเลี่ยง
               เพื่อกล่าวถึง
               เพื่อเข้าใจถึง
               เพื่ออธิบายถึง
               เพื่อทราบถึง
               เพื่อพรรณาถึง
               เพื่อคุ้นเคยกับ
               เพื่อเลือกสรร
               เพื่อซาบซึ้งใน
               เพื่อระบุ
               เพื่อรู้ซึ้งถึง
               เพื่อจำแนกแยกแยะ
               เพื่อสนใจใน
               เพื่อลำดับ  หรือเพื่อแจกแจง
               เพื่อเคยชินกับ
               เพื่อประเมิน
               เพื่อยอมรับใน
               เพื่อสร้างเสริม
               เพื่อเชื่อถือใน
               เพื่อกำหนดรูปแบบ
               เพื่อสำนึกใน
               เพื่อแก้ปัญหา

              8. เป้าหมาย  เป้าหมายของโครงการ  เป็นการบอกถึงความต้องการหรือทิศทางในการปฏิบัติงานที่ระบุ         ในเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ  เวลาและพื้นที่ในการปฏิบัติงาน  ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และกิจกรรมของโครงการ
                9.  ขั้นตอนและระยะเวลา   เป็นการกล่าวถึงลำดับขั้นตอนการทำงาน  เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามที่กำหนดในโครงการ  วิธีดำเนินการมักจำแนกเป็นกิจกรรมย่อย ๆ โดยแสดงให้เห็นชัดเจน ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการว่ามีกิจกรรมใดที่ต้องทำ ทำเมื่อใด  ผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบ และจะทำอย่างไร อาจจะจัดทำเป็นปฏิทินปฏิบัติงานประกอบ  รวมทั้งแสดงระยะเวลาดำเนินการควบคู่ไปด้วย
                 ระยะเวลาในการดำเนินการ เป็นการระบุระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนกระทั่งสิ้นสุดโครงการโดยระบุ เวลาที่ใช้เริ่มต้นตั้งแต่  วัน เดือน ปี  และสิ้นสุด หรือแล้วเสร็จใน วัน เดือน ปีอะไร
                10. สถานที่ดำเนินการ  คือสถานที่ บริเวณ พื้นที่ อาคาร ที่ใช้จัดกิจกรรมตามโครงการ
                11. งบประมาณ  หรือค่าใช้จ่ายการดำเนินงานตามโครงการต้องใช้งบประมาณหรือค่าใช้จ่ายที่ระบุ ถึงจำนวนเงิน  จำนวนวัสดุ  ครุภัณฑ์  หรือจำนวนบุคคล และปัจจัยอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการดำเนินการ  สำหรับงบประมาณ ควรระบุให้ชัดเจนว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างเป็นข้อๆ
                12. การประเมินผลโครงการ   เป็นการประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการ  ซึ่งต้องระบุวิธีการประเมินผลให้ชัดเจนว่าจะประเมินโดยวิธีใด  อาจเขียนเป็นข้อ ๆ หรือเขียนรวม ๆ กันก็ได้ เช่น จากการสังเกต จากการตอบแบบสอบถาม    (ควรระบุว่าใครเป็นผู้ประเมิน)  เป็นต้น
13. ผลที่คาดว่าจะได้รับ  เป็นการกล่าวถึงผลประโยชน์ที่พึงจะได้รับจากความสำเร็จของโครงการ  เป็นการคาดคะเนผลที่จะได้รับเมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติโครงการ  ซึ่งผลที่ได้รับต้องเป็นไปในทางที่ดี ทั้งเชิงปริมาณ และคุณภาพ          นอกจากโครงการจะมีส่วนประกอบสำคัญ  13  ประการ  ตามที่กล่าวมาแล้ว การเขียนโครงการอาจจะมีส่วนประกอบเพิ่มเติมอีกได้เช่นปัญหาและอุปสรรคข้อ เสนอแนะ  ผู้เขียนโครงการ  ผู้อนุมัติโครงการ เป็นต้น

 ลักษณะของโครงการที่ดี 

                โครงการเป็นกิจกรรมที่จัดทำขึ้น  เพื่อการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการที่ดีย่อมมีผลตอบแทนหน่วยงาน  หรือองค์การอย่างคุ้มค่า  ลักษณะของโครงการที่ดีมีดังต่อไปนี้
                1. สามารถแก้ปัญหาองค์กร  หรือหน่วยงานได้
                2. มีประสิทธิภาพ  และก่อให้เกิดผลตอบแทนคุ้มค่า
                3. รายละเอียดของโครงการต้องสอดคล้อง และสัมพันธ์กัน
                4. วัตถุประสงค์  และเป้าหมายต้องชัดเจน  และมีความเป็นได้สูง
                5. สามารถสนองความต้องการขององค์กร  และหน่วยงานได้อย่างดี
                6. สามารถนำไปปฏิบัติได้สอดคล้องกับแผนงาน
                7. กำหนดขึ้นจากข้อมูลที่มีความเป็นจริง   และได้รับการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
                8. ต้องได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากร  หรือค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม            
                9. ต้องมีระยะเวลาการดำเนินโครงการชัดเจน

ประเภทของโครงการ

                โครงการ  แบ่งออกได้หลายประเภทตามความต้องการ   และความเหมาะสม  ได้แก่ แบ่งตามระยะเวลา เช่น โครงการระยะสั้น โครงการระยะยาว หรือแบ่งตามความสำคัญ  เช่น โครงการหลัก โครงการเสริม เป็นต้น   แต่ที่นิยมกันโดยทั่วไป  มักจะแบ่งประเภทของโครงการตามลักษณะของผู้เสนอโครงการ  ดังต่อไปนี้
                1.  โครงการที่เสนอโดยตัวบุคคล  หมายถึง  โครงการที่ริเริ่มขึ้นโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  ทั้งนี้อาจเป็นความคิดริเริ่มของตัวผู้เขียนโครงการเอง หรือได้รับการมอบหมายจากผู้อื่น ให้เป็นผู้เขียนโครงการก็ได้
                2. โครงการที่เสนอโดยกลุ่มบุคคล  หมายถึง โครงการที่ริเริ่มขึ้นโดยบุคคลมากกว่า 2 คนขึ้นไป ที่มีความเห็นพ้องต้องกันในวัตถุประสงค์  วิธีการ  และมีเจตนาที่จะทำงานร่วมกัน ซึ่งส่วนประกอบของโครงการจะต้องได้รับการอภิปรายจนเป็นที่พอใจของกลุ่ม  การเขียนโครงการโดยกลุ่มบุคคล มีผลดีเพราะนอกจากจะได้รับประสบการณ์จากการเขียนโครงการแล้ว  ยังได้มีการประชุม อภิปราย แสดงความคิดเห็น และการใช้เหตุผลพร้อมกับการเรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ  ดังนั้น โครงการนำเสนอโดยกลุ่มบุคคลจึงมีความสมบูรณ์  และรัดกุมมากกว่าการเขียนโครงการโดยตัวบุคคล
                3. โครงการที่เสนอโดยหน่วยงาน หมายถึง โครงการที่อาจจะเริ่มโดยตัวบุคคล หรือกลุ่มบุคคลก็ได้ แต่เป็นโครงการที่ดำเนินการในนามของหน่วยงาน  ซึ่งหมายความว่าทุกคนในหน่วยงานนั้นจะต้องเห็นด้วย และร่วมกันรับผิดชอบ  โครงการที่เสนอโดยหน่วยงานจึงจัดเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องประสานงาน  และร่วมมือกันทุกฝ่าย นับว่าเป็นโครงการที่มีความสมบูรณ์มากกว่าโครงการประเภทอื่น

 การใช้ถ้อยคำ สำนวน ในการเขียนโครงการ

                ผู้เขียนโครงการต้องมีความรู้  ความเข้าใจในเรื่องการใช้ถ้อยคำ สำนวนภาษาเป็นอย่างดี เพราะโครงการจะบรรลุเป้าหมาย  หรือประสบผลสำเร็จขึ้นอยู่กับการใช้ถ้อยคำภาษาเป็นสำคัญ  ถ้าใช้ถ้อยคำภาษาถูกต้อง  ชัดเจน สละสลวย ย่อมสื่อความหมายได้ง่าย และรวดเร็ว ดังนั้นผู้เขียนโครงการจึงต้องรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำ ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
1. ใช้ภาษาให้ถูกต้อง คือ ใช้ให้ถูกต้องตรงตามความหมาย  และเขียนให้ถูกต้องตามอักษรวิธี ทั้งตัวพยัญชนะ  สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด และการันต์
2. ให้ภาษาให้กะทัดรัด  คือ ใช้ถ้อยคำกระชับ รัดกุม ไม่เยิ่นเย้อ  ยืดยาว ประหยัดถ้อยคำ แต่ต้องได้ใจความสมบูรณ์
3. ให้ภาษาให้ชัดเจน  คือ ใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงไปตรงมา หรือตรงตามตัวทำให้ผู้รับสารเข้าใจทันที    ไม่ใช้ถ้อยคำคลุมเครือ หรือกำกวม
4. ใช้ภาษาให้เหมาะสม  คือใช้ภาษาให้เหมาะสมกับเนื้อความ หรือเหมาะสมกับกาลเทศะ
5. ใช้ภาษาให้สุภาพ  คือใช้ภาษาเขียน เป็นภาษาที่มีแบบแผน  ไม่ใช้ภาษาพูดในการเขียนโครงการ